วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Everest Basecamp 1 การเตรียมตัว



                  ก็ม่ายยยมีอารายยยมากกกก แค่อยากบอกว่า   บางที...การที่จะทำให้สมอง มันไหลลื่น  คิดเรื่องที่จะเล่า  หาวิธีนำเสนอ  ขมวดปม  ปล่อยมุข  สอดแทรกเกร็ดความรู้ หรือความคิด ที่ต้องพิจารณาให้เหมาะสม  ว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่อ่านได้บ้าง    บ่อยครั้ง มันก็เป็นผลพลอยได้ จากน้ำที่มีดีกรี รสชาติขมๆปนฝาดๆ  ที่ช่วยสร้างจินตนาการให้  ได้ม๊าก..มาก   ถ้าไม่เมาซะก่อน  ต้องขอขอบคุณ   ไวน์ออสเตรเลี่ยนขวดนี้  ตอนนี้  เดี๋ยวนี้   ณ มหานครลอนดอน 15:58น  วันที่4june2014


              ก็กลับมาอีกครั้งนะครับ  กับการที่อยากจะเขียนเรื่องราวชีวิต และ ประสบการณ์ตรง ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในวันที่8มิย2557นี้  มันก็คงหนีไม่พ้น  กับการเดินทางไกล  โดยใช้พาหนะ2ล้อ อีกเช่นเคย  แต่มาคราวนี้  จะไปกับพาหนะ4ล้อด้วย  เรียกได้ว่า  งานนี้จะเป็นขบวน คาราวาน ที่ทั้งใหญ่ ทั้งยาวก็ว่าได้   โดยมีจุดหมายปลายทางคือ  ตีนเขาหิมาลัย หรือ ที่ชาวโลกรู้จักกันในนาม Everest Basecamp  

ทริปนี้ประมาณว่า กะจัดครั้งเดียวเลิก โดยมีพี่กิตติ นิลถนอม บิ๊กบอสของ  บ.Transasia Route  เป็นผู้ริเริ่ม จะเรียกว่า เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ 

กับทริประดับโลก  อย่างเช่น  คาราวาน กรุงเทพ-ฝรั่งเศส ก็จัดแล้ว   
ทริปคาราวาน กรุงเทพ-เมียนม่าร์ -อินเดีย-ภูฏาน-เนปาล ก็มีแล้ว  
ทริปคาราวาน พม่าใต้  ก็เพิ่งจัดไป และยังมีทริปคาราวาน นอกประเทศทั่วๆไปที่ขายอยู่ประจำ  จนมาคราวนี้  พี่เค้ามีไอเดียบรรเจิด อยากจะจัดทริป6ประเทศ เป็นวงกลม ปลายทางEverest  Basecamp รวม 36วัน

จริงๆที่ตั้งใจไว้ในปีนี้  คืออยากขี่รถไปเที่ยวพม่า  แต่มาเจอโปรแกรมบรรเจิดของพี่เค้า ก็เลยลังเล แต่ดูวันเดินทางที่จะต้องลางานแล้ว  มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน  ที่จะทำเยี่ยงนั้น   แต่ถ้า ขอลาออกไปขี่รถเที่ยวเลย  ทางเจ้านายที่บริษัทที่ทำอยู่ ก็คงเต็มใจ ให้ออกเสียเลย คงง่ายกว่ามาก

พี่กิตติเลยกลับไปคิดแผนเดินทางใหม่ ที่จำเป็นต้องลดวันเดินทางลง โดยผ่านแค่ลาวกับจีน เพื่อลดค่าใช้จ่ายก้อนโต คุณเชื่อหรือไหมว่า ทริป36วันนั้น ค่าทริป ค่าน้ำมันรถ ค่าใช้จ่ายติดกระเป๋า บวกเงินมัดจำเข้าอินเดีย(ที่ได้คืนภายหลัง)ที่เรียกว่าcarnet   รวมๆกัน จะทะลุ 4แสนบาทอย่างแน่นอน   เห็นรายจ่ายแล้ว  ผมต้องถอยสุดตัวเลย  จนท้ายสุด พี่กิตติจึงได้คลอดโปรแกรมที่เหมาะสม ทั้งจำนวนวันเดินทางใหม่เหลือแค่26วัน   ช่วงเดือนที่เหมาะสมของปี  ที่ๆจะไปเยือน  กับราคาที่คุ้มค่ามาก เรียกว่า มันเป็นความลงตัวที่สุดก็ว่าได้  หลังจากนั้น ก็ประกาศรับสมัคร ผู้ที่จะร่วมเดินทาง ในเว๊บมั่ง  ลูกค้าเก่าๆมั่ง  ปากต่อปากมั่ง

ด้วยความที่ผม เคยใช้บริการทัวร์พี่เค้ามา แถมยังบ้านอยู่ใกล้ๆออฟฟิตด้วย  ก็เลยไปนั่งเล่นบ่อยๆ  จนสนิทกันอย่างพี่ๆน้องๆไปแล้ว  เมื่อก่อนเดินเข้าไป ก็จะมีน้องๆในออฟฟิตเข้ามาถามว่า  ”จะรับน้ำเย็นหรือกาแฟดีครับพี่ แต่เดี๋ยวนี้   “พี่ทิ น้ำอยู่ในตู้เย็นนะ  กาแฟชงเองเลยครับ  อ้าว! แล้วของฝากไม่มีติดมือมาหรือพี่    จะว่าไปแล้ว เราคงน่าจะสนิทกันจริงๆแล้วนะครับ ว่ามั้ย?  

พี่กิตติเสนอโปรแกรมทัวร์กับผมว่า  อยากให้ไปนะ คงจะจัดอย่างนี้ไม่ได้บ่อยแล้ว มีเท่าไหร่ก็จ่ายมาก่อนก็ได้  ที่เหลือ กลับมาค่อยผ่อนเอา เชื่อใจ ถ้าพร้อมก็บอกแล้วกัน  ไม่อยากให้พลาด”   อืม........คุณคิดว่า ผมจะรับข้อเสนอนี้ไหมครับ?

การจะร่วมทริปครั้งนี้  มันมีปัจจัยที่ทำให้  ไม่ค่อยสะดวกกับหลายๆท่านที่สนใจจะไปด้วย  หลายอย่างอยู่เหมือนกัน  เช่นว่า ทริปนี้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 26วัน    มีค่าใช้จ่ายทั้งทริปบวกค่าน้ำมันรถ ต่อคน ต่อคัน  ประมาณ หนึ่งแสนปลายๆ   สุขภาพร่างกาย ที่ต้องพร้อม ต้องฟิต กับการขับขี่  กับระยะทาง กว่า10,000กม.และ  อากาศหายใจที่บาง ในระดับความสูงกว่า5,000เมตร  มีจิตใจที่ต้องชอบเดินทางท่องเที่ยวแบบจริงจัง อดทน มีอารมณ์และความคิดในทางบวก จะกิน จะนอน ต้องง่าย   มีความชำนาญในการขับขี่  มีวินัยกลุ่ม  โดยเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก  ต้องดูแลรักษาตัวเองและพาหนะ  ให้ไหว  จนจบทริป นั่นก็น่าจะเป็นหัวใจหลักๆ ของทริปนี้ครับ

พาหนะที่ผมจะใช้เดินทางคราวนี้ จะเป็นรถที่เพิ่งซื้อมาใหม่  ที่ผลิตในไทย แต่ไม่มีขายในเมืองไทย  งง! กันไหมล่ะครับ  ปกติหลายๆทริปที่ไป  ก็จะขี่เจ้าเพื่อนยาก Kawasaki klx250
ซึ่งก็เคย ไปลุยหิมะถึง แชงกรีล่า เมืองจีนมาแล้ว ขี่กันตูดด้านเลย 5,577กม แต่มาเที่ยวนี้ มีพาหนะ4ล้อและ2ล้อร่วมกัน   ในกลุ่ม2ล้อ พิสัยการเดินทางอย่างต่ำ ที่ต้องแวะเติมน้ำมัน ก็200kmขึ้นไป กันทั้งนั้น   ซีซีต่ำสุดก็500cc  ความเร็วเดินทางอย่างเร็วๆนะ ประมาณ100km/hเท่านั้น  เหมือนจะช้าไปใช่ไหมครับ หลายท่านที่ขี่กันในไทย คงแทบจะหลับด้วยความเร็วแค่นี้  แต่ถ้าเคยมีประสบการณ์ขี่เดินทางในต่างแดนกันมาบ้าง  จะเข้าใจเลยว่า ช้าๆแต่เสียวได้น่ะ  มันเป็นยังไง หึๆๆ

เลยไม่อยากจะเป็นภาระของกลุ่ม ที่จะต้องจอดหาปั้มให้เจ้าklx250ทุกๆ100กว่าโล หรือต้องมัดถังน้ำมันสำรองตลอดทาง  รู้สึกเกรงใจเพื่อนร่วมทางเค้า  มันอาจจะดูเท่ห์ถ้า ได้พาดหัวข้อว่า ขี่รถ250ซีซี จากกรุงเทพไปจนถึงEverest ซึ่งผมก็มั่นใจว่า มันไปได้อย่างสบาย  ไม่เว้น แม้แต่ รถจ่ายกับข้าวบ้านๆ 100ซีซี ก็ไปกันได้ทั้งนั้นนะครับ  แต่จะทำไปเพื่อ? 

ด้วยเหตุผลดังกล่าว งานนี้จึงตกเป็นภาระกิจอันใหญ่หลวง ของเจ้าkawasaki KLR650ทันที มีฉายาที่ตั้งไว้คือ น้องใหญ่   รถคันนี้ถูกนำเข้า มาขายอีกที เลยโดนภาษีนำเข้าเต็มๆ  ราคาเลยแพงกว่าเมืองนอกเกือบเท่าตัว แต่เทียบกับความคุ้มค่า กับความชอบโดยส่วนตัว ผมว่าคุ้ม
และทางkawasakiเอง  ก็ไม่มีนโยบาย เอามาขายเป็นรถตลาด ในบ้านเราอย่างแน่นอน ณ ตอนนี้ แต่อาจจะเปลี่ยนใจได้นะ ถ้าผมเชียร์บ่อยๆ อิๆๆ   ป่านนั้นผมก็ได้ขี่น้องใหญ่ จนคุ้มราคาไปแล้ว

ไปทำแร๊คข้างไว้ขนสัมภาระ กับพี่ปุ๊ก ร้านอยู่แถวด่านมอเตอร์เวย์ทับช้าง งานไทยๆแต่มีคุณภาพ ผลงานพี่เค้าไม่ธรรมดาเลย

จัดเตรียมแพ๊คกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าอะไหล่เซอร์วิส ยางนอกหน้าและหลังอีก1คู่ น้ำมันเครื่องสำรอง  ชุดขี่ที่ต้องใช้กับอากาศหนาว ระดับเลขตัวเดียว  หัดรื้อรถ จะได้เตรียมประแจ ขนาดเครื่องมือช่างต่างๆ ให้เหมาะมือ แบกไปง่าย  เตรียมเรื่องเอกสารคน และ รถ ให้พร้อม  copyไว้หลายๆชุดออกกำลังกาย 
เคลียร์งานล่วงหน้า แปลนว่าจะลาหยุดแบบไหน โดยไม่ให้โดนไล่ออก อิๆ  พอเวลาเราตั้งใจจริง จะทำให้ได้ ไม่ว่าเรื่องใดๆ    ซึ่งผมเอง อาจจะมีดวงเดินทางไกลช่วยอยู่บ้าง  แต่ เรื่องโอกาส บางทีก็ต้องสร้างมันขึ้นมา ถ้ามัวแต่รอ  โอกาสอาจจะไม่มา ให้เห็นเลยก็เป็นได้ งานนี้ถือว่าการเตรียมการณ์เดินทางเบื้องต้น มีความสมบูณร์แบบมากกว่าทุกๆครั้ง ลงตัวดีตั้งแต่ต้น ก็น่าจะทำให้ทุกอย่าง เป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้  และจำเป็นต้องเตรียมสติไว้เยอะๆด้วย

ผมจะบินกลับถึงไทย ในวันที่7มิย.ตอนเช้า นอนพักก่อน ตื่นบ่ายๆพร้อมเดินทางขึ้นเหนือ   หาพักที่จังหวัดไหนซักแห่งก่อน  รถและสัมภาระ ได้จัดเตรียมไว้แล้ว80%  คงต้องเคลียร์บ้านชายโสด น้ำ ไฟ ฝากบ้านไว้26วันกับ รปภ และพี่ๆบ้านข้าง ให้เรียบร้อย


วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2557

Myanmar

 

7apr2014 Munich
หลังจากได้สะพายเป้  บินเครื่องแอร์เอเซีย ไปเที่ยวและทำบุญ 7วันที่เมียนมาร์  ระหว่างวันที่ 29mar-4apr14ที่ผ่านมา พอเครื่องมาถึงดอนเมือง ก็ขี่เจ้าspark115i ซึ่งจอดทิ้งไว้ตั้งแต่7วันก่อน  โดยล๊อคกันหายไว้อย่างดีที่สุด  ขี่ฝ่ารถติดๆวันศุกร์long weekendกลับบ้าน  พอถึงบ้าน ก็เคลียร์ของ อาบน้ำ แต่พอเห็นเตียงนอน   จิตก็บอกกับกายว่า นอนเหอะว่ะ ว่าแล้วก็ฟุบไปกับเตียงแบบยาวๆ12ชม. ตื่นอีกทีก็7โมงเช้าวันใหม่เลย555  แต่ก็ช่วยให้feel fresh เพราะวันนี้9โมงเช้า ก็ต้องไปสนามบิน เพื่อทำflight 11ชม.บินไปมิวนิค เยอรมัน   ตอนขี่รถกลับจากกัมพูชา ก็บินมามิวนิค มาคราวนี้ แบกเป้กลับจากเมียนมาร์ ก็มามิวนิคอีก อะไรจะพันผูก ผูกพันขนาดนี้
หลายๆอาชีพ ที่เป็นงานบริการหรือที่ทำงานเป็นกะ ก็มักจะไม่ค่อยมีวันหยุดงาน  ที่เป็นเสาร์อาทิตย์ หรือ วันนักขัตฤกษ์  วันสำคัญต่างๆ  เช่นเดียวกับอาชีพที่ต้อง  บินไปบินมา  กินไม่เป็นเวลา  นอนไม่ซ้ำที่  หยุดไม่เหมือนชาวบ้าน  ลางานไม่เหมือนคนอื่น อย่างพวกเรา  ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน  จนบางทีต้องปรับตัวเองให้มีหลายๆโหมด ให้เหมือนอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกสักชิ้นนึง  แต่กว่าจะชิน...ก็เล่นซะหลายปีอยู่  และถ้าจะให้เลิกเป็นแบบนี้ ก็คงจะยากเสียแล้วตอนนี้
ต้องยอมรับว่า ทุกๆวัน ที่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ได้ และยังสามารถทำกิจกรรมที่ชอบ  ก็เพราะรายได้ที่มาจากงานที่ทำ ทั้งสิ้น  ก็เหมือนกับทุกอาชีพนั่นแหละครับ  ใครจะมีมาก จะมีน้อย   จะขี่รถหรู หรือรถบ้านๆ  จะดื่มไวน์แพงๆ หรือสปายไวล์คูลเล่อร์  ฯลฯ สไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละคน มันห้ามใจกันยาก   ในทางโลก แต่ละคนล้วนแตกต่างกัน   แต่ในทางธรรม ไม่มีใครแตกต่างกัน   คนก็คือคน  วงเวียนชีวิต   เกิด  แก่  เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด 
 สิ่งที่ได้สัมผัสจากผู้คนที่เมียนมาร์ เมืองที่พุทธศาสนา เจริญทางจิตใจมากกว่าวัตถุมงคล   ศรัทรา ด้วยการนั่งสมาธิกับสวดมนต์ เราอาจจะลำบาก กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่ค่อยมีให้ ในที่พัก ในเวลาไปเที่ยว เวลาเดินทางไปไหว้พระ แต่ก็ยังคงเห็นรอยยิ้ม หน้าตาที่มีความสุข ของผู้คนที่นี่ได้อย่างชัดเจน เพราะสุขที่นี่ มันออกมาจากใจจริงๆ ชอบมากๆ
 

















วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

Angkor 27feb-6mar2014 part3 End

4mar14  สะพานไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำโขงยาว 1กม. ที่ข้ามไป Kaoh Pen อยู่ห่างจากที่พักเพียงกิโลกว่าๆ  เวลาขี่ข้าม พื้นไม้ไผ่ที่สานมันจะยวบยาบ ควบคุมรถลำบาก ไหนต้องระวังรถเล็ก รถใหญ่ที่สวนมาอีก  ขาไปยังไม่ค่อยชิน  เมื่อถึงฝั่ง Kaoh Pen จะมีคนรอเก็บค่าข้าม 1
 

            รอบๆชายเกาะจะเต็มไปด้วย ทรายแม่น้ำ ดูเหมือนชายหาด จะมีไม้ไผ่สาน วางทับพื้นทรายที่เป็นถนน  เพื่อให้รถต่างๆวิ่งเข้าหมู่บ้านได้สะดวก  ริมหาดทรายก็จะมีเพิงร้านอาหาร นั่งอาบแดดไป กินไป เหมือนอยู่ชายทะเลเลย 







                ขี่ไปสำรวจบนเกาะ หมุ่บ้านน่าอยู่มาก ร่มรื่น ปลูกต้นไม้กันแน่น มีวัด โรงเรียน  สถานีตำรวจ  บ้านคน ร้านของขาย ฯ ว่าไปแล้ว ก็คล้ายๆกับ เกาะเกร็ด  แถมมีguesthouseให้พักด้วยสิ 

                  มีแปลงปลูกข้าวโพดเยอะมาก  มีสวนผลไม้ หลากหลายชนิด เชื่อว่า ดินบนเกาะนี้ ปลูกอะไรก็ขึ้นดี พอลองมองจากgooglemap พิมพ์คำว่า "kaoh pen" เห็นลักษณะของเกาะแล้ว  นี่มันเป็นเกาะสำหรับการเกษตรชั้นเยี่ยมเลยนี่หว่า 
  
                  จอดหน้าโรงเรียน มีลุงมาขายตังเม ปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ   รวมถึงร้านขายขนม  มีนักเรียนรุมซื้อกันใหญ่ เลยถือโอกาส กินมื้อเช้าที่นี่เลย  









 ขี่ข้ามสะพานขากลับชักเริ่มสนุก  ใช้ขาตั้งกล้องรัดกับเป้ด้านหน้า กดถ่ายเป็นวีดีโอ เป็นGoProรุ่นจำเป็น  ภาพออกมาก็ไม่เลว  




 ตั้งใจไป สะพานโบราณ800กว่าปี  แต่ขี่ไป ไม่แม่นว่าต้องเลี้ยวแยกไหน  น่าจะขี่เลยไปไกล  ไว้ค่อยมาแก้ตัวใหม่คราวหน้า 
เข้าเขตเสียมเรียบตอนบ่าย3ครึ่ง  เห็นป้ายชี้ไปAngkor  ก็เลี้ยวขวา ขี่เข้าไปดู  เจ้าหน้าที่ๆเฝ้าทางเข้าปราสาท บอกให้ไปซื้อบัตรก่อน  ก็คิดแค่ว่าจะถ่ายวิวแบบไกลๆดูก่อนเท่านั้นเอง ยังไม่พร้อมเข้า   แต่ตำรวจที่ประจำตามจุด  ก็จะมาดูว่าเรามีบัตรรึยัง  แอบทำเนียนไม่เป็นผล ต้องยอมออกจากพื้นที่แต่โดยดี

                     เลยขี่มาที่จุดขายบัตร ตอน4โมงเย็น  แต่ก็ยังซื้อไม่ได้ เพราะห้องขายบัตร  จะเปิดตอน16:40น.เป๊ะ  แต่ก็ไม่เบื่อที่จะรอ ก็เพราะมีเธอคนนี้ยืนรอเป็นเพื่อน "บอง สรัน โอน เนียงละออ..."
 "บอง สรัน โอน เนียงละออ..."



 พอใกล้เวลาขายตั๋ว รถทุกประเภทต่างพานักท่องเที่ยวเป็นร้อยคน มาเตรียมซื้อตั๋วของวันพรุ่งนี้   ต้องถ่ายรูปติดบัตร  ผมซื้อบัตรชมแค่วันเดียว ราคา20$   


                     ส่วนใครจะชมหลายวันมากกว่านี้ ก็จ่ายเพิ่มไป ถ้าอยากดูครบๆทุกจุดแบบละเอียด น่าจะ3วัน กำลังดี  หลัง5โมงเย็น เค้าจะมีเวลาเปิดให้ชมฟรี1ชม.ก่อนปิด  ก็เลยรีบบึ่ง ไปถ่ายรูปตรง หน้านครวัด  อากาศที่นี่ร้อนหน่อย แดดแรง แต่ด้วยความใหญ่โต ของสถานที่ ก็ได้ตั้งหน้าตั้งตาเก็บภาพลูกเดียว เห็นของจริง แล้วรู้สึกทึ่งมาก บรรยายไม่ถูกกันเลย ดูจากแผนที่เมืองเก่า แค่จุดนี้จุดเดียว ยังใหญ่โตขนาดนี้ สงสัยพรุ่งนี้คงมีเมื่อยแน่ๆ  คืนนี้ต้องวางแผนเตรียมรับมือกับ  ในการชม  1 ในสิ่งมหัสจรรย์ของโลกซักหน่อยแล้ว





                 ขี่มาหาที่พักในเสียมเรียบ ผ่านไนท์มาเก็ต  ของขายนักท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย แอบคล้ายๆ ถนนคนเดินที่เชียงใหม่  ดูมีสีสรรค์ 



งูเขียวทอดกรอบ

 พี่จา พนม  นายแบบผ้าขาวม้าร้านนี้หน้าคุ้นๆแฮะ  

 ร้านนวดเขมร มีบริการมากมายถ้าใครเกิดเมื่อย ที่พักคืนละ10$ทำเลสะดวก ขี่ชมเมืองยามค่ำคืน  จอดลงเดินไป PubStreet,  Art center Night Market,  Angkor Night Market ฯ  มันติดๆกันหลายตลาด เดินจนงง    วันนี้ขี่รวมระยะทาง 320km  











5mar14              ตั้งปลุกไว้ตี5ครึ่ง เตรียมน้ำ ลูกอม ครีมกันแดด แบตกล้อง แบตโทรศัพท์ ขาตั้งกล้อง ชุดพร้อมเดินตากแดด ทั้งหมดเตรียมสำหรับวันนี้  

                    ขี่เข้าไปนครวัด รอถ่ายรูปแสงแรงของวัน ที่จะโผล่จากยอดปราสาท  นักท่องเที่ยวมารอถ่ายรูปกันแน่นพื้นที่ ประมาณ06:30น จึงได้เริ่มกดชัตเตอร์ พระอาทิตย์เริ่มค่อยๆขึ้นมาทีละน้อย เสียงนักท่องเที่ยวหลายภาษา ต่างแสดงความดีใจ โดยเฉพาะภาษาจีน    ที่ดังกว่าเพื่อน

















      
                       ตลอดทั้งวัน ยัน5โมงเย็น ที่เดินชม ขี่รถไปจากจุดนึง ไปอีกจุดนึง ตั้งกล้อง ถ่ายรูป  วนอยู่ในพื้นที่ นครวัด นครธม โดยไม่มีเบื่อ  ถึงจะร้อนแดด และเมื่อยทีน  สถานที่ๆ กว้างใหญ่ และ เก่าแก่เป็นพันๆปีนี้  ถ้าไม่มีรถตัวเองขี่มา จะไปไหนให้ทั่ว ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย  จะต้องเสียค่าสามล้อเครื่อง จนกระเป๋าฉีกแน่ 























































              สมัยนี้สะดวกที่จะถ่ายรูปได้ โดยไม่จำเป็นต้องกลัวฟิลม์หมดเหมือนสมัยก่อน  ผมเคยเล่นกล้องฟิลม์มา นึกขำๆว่าจะต้องเอามากี่ม้วนเนี่ย ถึงจะถ่ายรูปได้ครบในวันนี้   แทบทุกอย่างในยุคนี้ มันทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นมาก

          5โมงเย็น รีบขี่ออกมา เพื่อไปปากแม่น้ำที่จะลงสู่ โตนเลสาป  ก่อนแดดจะหมด  แวะจอดดูท่าขึ้นเรือ  บ้านชาวประมง  ร้านอาหาร  วิวสุดสายตามาก  จากนั้นกลับสู่ที่พัก   ขี่ชมเมืองเก่าไปวันนี้  146km











6mar14     วันนี้เป็นวันที่8 ที่ขี่รถมา น้อยกว่าโปรแกรม 1วัน ถ้าจะให้อยู่ต่อ ก็คงไม่รู้จะไปไหนดี  เริ่มเต็มอิ่มกับทุกสิ่งที่ได้เจอ  ถึงแม้ว่าผมจะเก็บจุดน่าสนใจต่างๆไม่ค่อยครบถ้วนนัก  เลยตัดสินใจ ขี่กลับบ้านดีกว่า พอแระเรา

















 มุ่งหน้าทิศตะวันตก สู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ปอยเปต  ระยะทาง 150kmโดยประมาณ








                 เมื่อถึงด่านชายแดน จอดรถ ลงไป เพื่อเค้าคิวยื่นเอกสารขาออก เจ้าหน้าที่เห็นเราขี่รถมา จึงเดินเข้ามาถามว่า คนไทยรึป่าว เข้าช่องVIPได้เลย 200บ.   บอกไม่เป็นไร ผมต่อคิวได้ไม่รีบ  ฝรั่งแปกเป้ก็เข้าคิวกันเต็ม ก็ไม่เสียเวลาอะไรมาก  ผ่านฉลุย  มองดูคาสิโน ที่คนไทยชอบมาเสี่ยงโชค จริงๆเมืองไทยควรจะมีนะ   ไหนๆบ่อนเถื่อนตั้งเยอะแยะแล้ว  โลกสวยอยู่ได้ 






              เข้ามาถึงฝั่งไทย  ด่านคลองลึก  ยื่นเอกสาร รถ และ คน  เรียบร้อยไม่มีติดขัดใดๆ  ขี่เข้ามา ปรับสมองว่า ขี่เลนซ้าย  ขี่ชิดซ้าย นะโว๊ย.. 

      เห็นรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวง หยุดถ่ายรูป พร้อมทำความเคารพ  พูดอยู่ในใจว่า ผมกลับมาแล้วนะคร๊าบ 


                เริ่มล้อหมุนประมาณบ่ายโมงจากด่าน  มาถึงบ้านที่มีนบุรี ตอน 16:20น. ตลอดทางที่ขี่กลับมาบ้าน รู้สึกว่า คนไทย ทำไมสไตล์ขับรถ ไม่ค่อยสุภาพกันเลยวะ ไม่ค่อยมีวินัยจราจรกันเลย  จากประสบการณ์ที่เคยขี่ไปหลายประเทศ ผมมองว่า การขี่รถในเมืองไทย มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ได้มากกว่าจริงๆ Human Errorสูงมาก  ดีใจที่รอดกลับถึงบ้าน  รวมระยะทางวันนี้ 392km   


บทสรุป
           ทริปนี้ใช้เวลา 8วัน  รวม 3,073.2km ขี่รอบประเทศกัมพูชา แบบไม่เร่งรีบ เน้นปลอดภัย สนุกกับการเก็บรายละเอียด ที่น่าสนใจ  มันมีที่ปลีกย่อยอีกเยอะที่ไม่ได้เขียน   ค่าใช้จ่ายทุกอย่างสำหรับทริปนี้  ทุกอย่างเลยนะครับ  ตั้งแต่ออกจากบ้าน ยันกลับถึงบ้าน ไม่ถึงหมื่นบาท  แต่มันก็มันเสี่ยงนะ ถ้าเกิดเหตุอันใดๆขึ้นมา
           ถ้าคิดจะขี่เที่ยวหลายคัน  ขอแนะนำให้มาโดยผ่านทัวร์ มีประกันภัย นอนโรงแรม จอดรถจะได้ปลอดภัย  กินร้านดีๆ แต่ก็คงต้องจ่ายเพิ่มอีกหน่อย    แต่ถ้าคิดจะมาเดี่ยวตามเส้นทางผม ก็ขอให้ศึกษาข้อมูลมาก่อน ขี่ให้ปลอดภัย ไม่ต้องรีบ ไปเรื่อยๆพอ  รักษาสุขภาพให้แข็งแรงไว้ตลอดทริป


            ผมคงไม่ขี่เที่ยวแบบ พี่Edwardเค้าหรอกครับ  ข้อแม้ชีวิตไม่เหมือนกัน ภาระหน้าที่ยังมี แต่คงทำในมุมที่ผมสนุกกับมัน  ไม่เบียดเบียนตัวเองมากเกินพอดี  ขอเป็นแค่ลูกเจี๊ยบ น่ารักๆ อย่างนี้ก็พอแล้ว
         900กว่าปีคืออายุของนครวัด และยังมีหลายปราสาทใกล้ๆ  ที่อายุมากว่า 1,200ปี   ทุกอย่างที่ผมถ่ายรูปไว้  เขียนเรื่องนี้ให้ทุกท่านได้อ่าน  หรือแม้แต่การขี่รถมาเที่ยวครั้งนี้  มันคงจะอยู่กับผม  อยู่ในความทรงจำของผม ได้นานอย่างมาก  ก็ไม่น่าจะเกินอีก 50ปีจากนี้   แล้วทุกๆอย่าง รวมทั้งผมเอง   ก็จะกลายเป็น ศูนย์  ไปตามกฏของธรรมชาติ   
           สิ่งใดๆที่จะทำให้ชีวิตอันแสนสั้นของเรา มีความสุข คนรอบข้างก็มีความสุข  โดยไม่ไปเบียดเบียนใครๆ  และพอที่จะทำไหว แรงยังเหลือ ปัจจัยพอมี  ผมคิดว่า มันก็น่าจะทำ ซะหน่อยนะ...


                                                                                                                       ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ
                                                                                                     Thai559
                                                                                                  16Mar2014